ปกป้องมนุษย์ สัตว์ และ สิ่งแวดล้อม จากฟาร์มอุตสาหกรรม
ร่วมกับเรา
การเลี้ยงสัตว์โดยไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพ นำมาสู่การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไร้ความรับผิดชอบ
วิกฤติเชื้อดื้อยาที่ยังทวีความรุนแรงมากขึ้น
สวัสดิภาพสัตว์แย่ทำให้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็น |
สวัสดิภาพสัตว์ที่ย่ำแย่ในฟาร์มอุตสาหกรรม นำมาสู่การใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินความจำเป็น เพื่อช่วยป้องกัน ไม่ให้สัตว์ที่มีความเครียดเหล่านั้นต้องเจ็บป่วย และนี่เป็นต้นตอของวิกฤตเชื้อดื้อยาจากฟาร์มสัตว์สู่คน |
ทุกๆ 15 นาที มีคนไทยเสียชีวิตเพราะเชื้อดื้อยา |
คนไทยยังคงเสียชีวิตเพราะเชื้อดื้อยาปีละกว่า 38,000 คน และอัตราการเสียชีวิตของคนไทยจากเชื้อดื้อยาสูงกว่าสหรัฐฯ-ยุโรป ถึง 6 เท่า |
ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ |
มีการคาดว่่าคนไทยมีการติดเชื้อดื้อยาประมาณปีละ 88,000 ครั้ง ทำให้ต้องอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น 3.24 ล้านวันต่อปี มูลค่ายาต้านจุลชีพที่ใช้รักษาคิดเป็น 2,539-6,084 ล้านบาท สูญเสียทางเศรษฐกิจ โดยรวมไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 0.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) |
พบการปนเปื้อนของเชื้อดื้อยาที่เป็นอันตรายใกล้ตัว |
พบการปนเปื้อนของเชื้อดื้อยาและยีนดื้อยาหลายขนานที่น่าวิตกจากฟาร์มอุตสาหกรรมในประเทศไทย ทั้งในเนื้อสัตว์ และแหล่งน้ำสาธารณะ จากการสำรวจขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกเมื่อปี พ.ศ. 2562 |
หากไม่มีการควบคุมอัตราการสูญเสียจะเพิ่มสูงขึ้น |
วิกฤตเชื้อดื้อยาคือปัญหาระดับโลกที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ และมีแนวโน้มที่จะทำให้อัตราการเสียชีวิตของคนเพิ่มขึ้นในแต่ละปี หากไม่ลงมือแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาอย่างเร่งด่วน ก็เป็นไปได้ที่เราจะเข้าสู่ยุค post antibiotic era หรือยุคที่ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถใช้รักษาโรคได้อีกต่อไป การเจ็บป่วยติดเชื้อเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่การตาย การผ่าคลอดอาจทำไม่ได้เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ |
สวัสดิภาพสัตว์ที่ย่ำแย่ ตัวเร่งการเกิดแบคทีเรียดื้อยา
ความโหดร้ายทารุณและสวัสดิภาพสัตว์ฟาร์มที่ย่ำแย่ส่งผลให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินความจำเป็น
ยาปฏิชีวนะที่ควรมีไว้เพื่อรักษาการเจ็บป่วย กลับถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันโรคในสัตว์ฟาร์มจากสภาพแวดล้อมที่่่มีแต่ความเครียดและโหดร้ายทารุณ รวมถึงเพื่อเร่งให้สัตว์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างผลกำไร
เราอยากให้คุณลองหลับตาแล้วคิดถึงสภาพของสัตว์ที่อยู่ในระบบฟาร์มอุตสาหกรรม แม่หมูที่อยู่ในคอกขังขนาดพอดีตัวทั้งชีวิต มีหน้าที่เหมือนเครื่องจักรผลิตลูกหมู ลูกหมูที่เกิดมาใหม่ต้องถูกตัดตอนอวัยวะ ทั้งการตัดหาง การตัดฟัน รวมถึงการตอนสด โดยไม่มีการบรรเทาความเจ็บปวดใดๆ หากคุณคิดว่าเป็นหมูลำบาก คุณลองคิดถึงไก่ที่ต้องอยู่กันอย่างแออัดในโรงเรือนแบบปิด แสงเดียวที่ไก่จะเห็นคือแสงจากหลอดไฟ ที่เปิดปิดให้ไก่กินและนอนตามเวลา และไม่มีที่ให้คุณได้จิกคุ้ยเขี่ยหาหนอน เกาะคอนหรือขุดหลุมเพื่อคลุกฝุ่นตามพฤติกรรมธรรมชาติได้
คุณคงพอเห็นภาพแล้วว่าไม่มีทางที่สัตว์ต่างๆ ที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งส่งผลให้สัตว์เหล่านี้เจ็บป่วยได้ง่ายมาก
ฟาร์มอุตสาหกรรมจึงใช้ยาปฎิชีวนะผสมลงในน้ำและอาหารให้สัตว์เหล่านี้กินเป็นประจำ เพื่อที่จะให้พวกมันสามารถทนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ รวมทั้งเร่งให้สัตว์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างผลกำไร ก่อนจะส่งไปยังโรงเชือดเพื่อเป็นอาหาร นี่เป็นการใช้ยาเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่ม นั่นหมายถึงแม้สัตว์ตัวไหนจะไม่ป่วยก็ต้องกินยาปฏิชีวนะเหล่านี้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง
การใช้ยาปฏิชีวนะที่เกินความจำเป็นเช่นนี้เอง ที่ทำให้เกิดแบคทีเรียดื้อยาหรือซุปเปอร์บั๊กส์ (Superbugs) ขึ้นในฟาร์ม เชื้อดื้อยาเหล่านี้มีการแพร่กระจายสู่ภายนอก ปนเปื้อนอยู่ในเนื้อสัตว์ที่คุณซื้อ ปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ แพร่กระจายในห่วงโซ่อาหารและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนใกล้เคียง และแหล่งน้ำเหล่านี้ยังคงมีการไหลต่อเนื่องไปสู่แหล่งอื่นๆ จนยากต่อการหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนได้ ในปัจจุบันปัญหาเชืัอดื้อยานี้ ได้กลายเป็นวิกฤตระดับโลกที่องค์การอนามัยโลกระบุว่า “การดื้อยา” เป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพของโลกในระยะอันใกล้
ผลกระทบจากสัตว์สู่คนที่ยังควบคุมไม่ได้
มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกมากกว่า HIV/AIDS |
The Lancet วารสารทางการแพทย์ที่เก่าแก่และได้รับความเชื่อถือมากที่สุด มีการประเมินว่าในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยากว่า 4.95 ล้านคน ซึ่งมากกว่าผู้เสียชีวิตจาก HIV/AIDS และมาลาเรีย รวมกัน |
พบเชื้อดื้อยาหลายขนานรอบฟาร์มอุตสาหกรรม |
จากการสำรวจแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม รอบฟาร์มอุตสาหกรรมหมูในประเทศไทย มีการพบเชื้อดื้อยาหลายขนาน ได้แก่ third-generation cephalosporins, fluoroquinolones, colistin, co-trimoxazole, gentamicin, amikacin, trimethoprim-sulfamethoxazole, or amoxicillin |
ปี พ.ศ. 2561 ตรวจพบเชื้อดื้อยาในเนื้อหมูในประเทศไทย |
ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2561 องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ได้จัดทำรายงานชื่อ Pork and the Superbugs Crisis โดยทำการตรวจสอบเนื้อหมู จำนวน 150 ตัวอย่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย พบการปนเปื้อนเชื้อ E. coli จากตัวอย่าง 97% และเชื้อ Salmonella จากตัวอย่าง 50% และผลจาก 97% ของ E. coli และ 93% ของ Salmonella พบยีนแบคทีเรียดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลายขนาน รวมถึงดื้อต่อยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Cephalosporin, Ampicilin, Cefotaxium และCefpodoxium |
ปีพ.ศ. 2562 พบยีนดื้อยากระจายอยู่ในสิ่งแวดล้อม |
พบยีนดื้อยากระจายอยู่ในสิ่งแวดล้อมจากรายงานชื่อ Silent superbugs killer in a river near you ในปีพ.ศ. 2562 ขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ซึ่งยีนดื้อยาเหล่านี้ มีผลต่อการดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มที่องค์การอนามัยโลกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุดต่อมนุษย์ ยาปฏิชีวนะในกลุ่มนี้ มีความจำเป็นในการใช้เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเมื่อยาปฏิชีวนะในกลุ่มอื่นใช้ไม่ได้ผล |
ยาปฏิชีวนะคือตัวช่วยของการเลี้ยงสัตว์อย่างทารุณโหดร้าย |
มีการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมากจากระบบการเลี้ยงที่สร้างความทุกข์ทรมานแก่สัตว์เพื่อป้องกันสัตว์เจ็บป่วยจากสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความเครียด |
การพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์คือทางออก
การยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มระบบอุตสาหกรรมให้สูงขึ้นเป็นทางออก อย่างยั่งยืนที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหานี้ เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ การไม่ใช้คอกขังแม่หมู การไม่ตัดตอนอวัยวะลูกหมู เช่น การตัดหาง หรือการตอนสดกับลูกหมู หรือคัดเลือกสายพันธุ์ไก่ที่โตช้าลง รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรือน ให้เหมาะสมและเอื้อต่อการแสดงพฤติกรรมทางธรรมชาติของไก่ ล้วนทำให้สัตว์ฟาร์มเหล่านี้มีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น การเจ็บป่วยลดน้อยลงมาก และทำให้ความต้องการใช้ยาปฏิชีวนะลดลงเป็นอย่างมาก
แต่การแก้ไขปัญหาสวัสดิภาพสัตว์จะเกิดขึ้นยากมาก หากยังปล่อยให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มอยู่ แม้ประเทศไทยจะมีนโยบายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคกับสัตว์ฟาร์ม แต่กลับขาดการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องเริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้ ก่อนที่เชื้อดื้อยาจากฟาร์มอุตสาหกรรมจะคร่าชีวิตเราหรือคนใกล้ตัวเรา
ข้อเรียกร้อง
คนไทยเสียชีวิตเพราะเชื้อดื้อยาในแต่ละวันและมีแนวโน้มที่อัตราการเสียชีวิตนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ฟาร์มอุตสาหกรรมยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหานี้ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทโดยตรงในเรื่องนี้ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้โดยเร่งด่วน
ยกระดับมาตรฐานขั้นต่ำสวัสดิภาพสัตว์ฟาร์มให้สูงขึ้น ให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำในการเลี้ยงสัตว์ฟาร์มที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล (FARMS: Farm Animal Responsible Minimum Standard) ซึ่งเป็นมาตราฐานที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะลดลง
|
|
ควบคุมและบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อการป้องกันโรคอย่างเข้มงวดโดยเร่งด่วน เพื่อป้องกันการเข้าถึงยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้อง รวมถึงจัดให้มีการพัฒนาความรู้ ด้านการใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม เพื่อหยุดปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะที่เป็นวิกฤตสุขภาพของคนไทยในขณะนี้
|
|
ดำเนินการภายใต้แนวคิด “หลักสวัสดิภาพหนึ่งเดียว” (One Health, One Welfare Concept) โดยมีการบูรณาการและการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาทั้งในคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
|
|
จัดทำกลไกเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ ในการติดตามและตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
|
Q: แคมเปญนี้มีวัตถุประสงค์อะไร?
A: เพื่อเรียกร้องให้เกิดการบังคับใช้กฏหมายการห้ามใช้ยาปฏิชีวะเพื่อป้องกันโรคกับสัตว์ฟาร์มแบบรวมกลุ่มอย่างเร่งด่วน โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ฟาร์มให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ อันจะทำให้ชีวิตของคนไทยปลอดภัยจากเชื้อดื้อยาที่มาจากฟาร์มอุตสาหกรรม ผ่านการปนเปื้อนในอาหาร ห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนแหล่งน้ำสาธารณะและสิ่งแวดล้อม
Q: แคมเปญนี้เกี่ยวข้องกับคุณอย่างไร?
เกี่ยวข้องกับคุณและทุกคนโดยตรง เพราะเชื้อดื้อยาจากฟาร์มอุตสาหกรรมนั้นปนเปื้อนออกมาได้ในหลากหลายรูปแบบทั้งจากเนื้อสัตว์ที่คุณซื้อมาประกอบอาหาร อาหารที่คุณรับประทานแบบสุกๆ ดิบๆ หรือแม้กระทั่งในสิ่งแวดล้อมและแหล่งน้ำสาธารณะ คนไทย 1 คนเสียชีวิตเพราะเชื้อดื้อยาทุกๆ 15 นาทีเป็นหนึ่งในตัวเลขสำคัญที่ทำให้เห็นว่าเราจำเป็นต้องหยุดปัญหานี้ทันที
Q: ทำไมถึงมีการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มอุตสาหกรรม?
A: ฟาร์มอุตสาหกรรมมีการเลี้ยงสัตว์อย่างหนาแน่น สภาพแวดล้อมและวิธีการปฏิบัติต่อสัตว์ในนั้นทำให้สัตว์มีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายมาก ดังนั้นยาปฏิชีวนะจึงถูกนำมาเพื่อป้องกันโรคกับสัตว์แบบรวมกลุ่ม การใช้ยาปฏิชีวนะในจำนวนน้อยๆผสมลงไปในน้ำและอาหารให้กับสัตว์ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียในฟาร์มเกิดอาการดื้อต่อยาเหล่านั้น
Q: มีการควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะภายในฟาร์มหรือไม่?
A: ปัจจุบันมีประกาศกรมปศุสัตว์โดยมีการกำหนดรายชื่อยาที่ห้ามใช้ผสมอาหารสัตว์ในวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันโรค พ.ศ. 2562 อยู่ แต่อย่างไรก็ตามการบังคับใช้แนวทางนี้ยังคงถูกตั้งคำถาม เนื่องจากยังพบการใช้ยาอย่างกว้างขวาง ตลอดจนการตรวจสอบจากหลายๆหน่วยงานยังพบการปนเปื้อนในห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนสิ่งแวดล้อม
Q: การไม่ใช้ยาปฏิชีวนะมีผลต่อชีวิตสัตว์อย่างไร?
A: การใช้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ทำให้สัตว์แข็งแรงขึ้น แต่ช่วยทำให้สัตว์สามารถทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายในฟาร์มอุตสาหกรรมได้ สิ่งที่จะทำให้สัตว์มีสุขภาพดี แข็งแรง อย่างยั่งยืนและลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะได้ก็คือ การพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ให้สูงขึ้น
Q: รายชื่อของท่านที่ได้สนับสนุนในแคมเปญนี้จะถูกนำไปใช้อย่างไร?
A: เรารวบรวมทุกเสียงของผู้ที่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราเรียกร้องเพื่อยื่นให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการแสดงถึงพลังและเจตนารมย์ในความต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นต่อคุณภาพชีวิตสัตว์ และสุขภาพของเรา นอกจากนั้นเรายังจะจัดส่งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนแคมเปญและความคืบหน้าเพื่อให้ท่านทราบอย่างต่อเนื่อง